“วัดอุโบสถาราม” หรือที่เรียกกันสั้นๆ ว่า “วัดโบสถ์” เดิมทีมีชื่อว่า “วัดโบสถ์มโนรมย์ ” ตั้งอยู่ริมแม่น้ำสะแกกรัง จัดเป็นศาสนสถานเก่าแก่ที่อยู่คู่บ้านคู่เมืองอุทัยธานีมาตั้งแต่สมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น บรรยากาศของวัดเงียบสงบชนิดที่ว่าถ้าเราลองหลับตาเงี่ยหูฟังดีๆ ก็จะได้ยินเสียงลมหายใจของตัวเองได้ถนัดถนี่ชัดเจนกว่าปกติแน่นอน เราเริ่มต้นจาก “พระอุโบสถ” ซึ่งภายในประดิษฐานพระพุทธรูปประทับนั่งปางมารวิชัย 5 องค์ ผนังทั้ง 4 ด้านในพระอุโบสถงดงามไปด้วยจิตรกรรมฝาผนังสรรค์สร้างโดยจิตรกรสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น โดยเรื่องราวในภาพจิตรกรรมฝาผนังจะบอกเล่าถึงประวัติของพระพุทธองค์ตั้งแต่ประสูติจนถึงปรินิพพาน แม้บางส่วนของจิตรกรรมฝาผนังเหล่านี้จะชำรุดหลุดลอกบ้างตามกาลเวลา แต่ลวดลายอันอ่อนช้อยเหล่านี้ยังคงทรงเสน่ห์เหมือนเดิมไม่เปลี่ยนแปลง ถัดจากพระอุโบสถไปคือ “พระวิหาร” ซึ่งตั้งอยู่คู่กัน ลักษณะภายนอกใกล้เคียงกับพระอุโบสถ พระประธานภายในพระวิหารเป็นพระพุทธรูปยืนปางห้ามญาติ ขนาบซ้ายขวาด้วยพระพุทธรูปฝั่งละหนึ่งองค์ ฝาผนังยังคงมีงานจิตรกรรมทั้ง 4 ด้านคล้ายกับภายในพระอุโบสถ แต่จะเป็นเรื่องของพระมาลัย พระอสีติมหาสาวก และพระอสุภกรรมฐาน 10 ลวดลายมีความวิจิตรงดงามน่าชมไม่แพ้กัน หลังจากที่เพลิดเพลินไปกับการชมจิตรกรรมฝาผนังเรียบร้อยแล้ว เราก็ไม่ลืมเดินชมความงดงามของสถาปัตยกรรมเก่าแก่ของ “เจดีย์สามสมัย” ที่บริเวณด้านหลังพระวิหารกันต่อ ซึ่งเจดีย์ทั้งสามองค์ มีรูปแบบที่แตกต่างกัน เริ่มจากเจดีย์ทรงระฆังเป็นศิลปะแบบอยุธยา เจดีย์ย่อมุมไม้สิบสองซึ่งเป็นศิลปะแบบรัตนโกสินทร์ และเจดีย์ทรงระฆังเหลี่ยมศิลปะแบบผสมผสานระหว่างอยุธยาและรัตนโกสินทร์ ตั้งเรียงรายอยู่ในแนวระนาบเดียวกัน ถึงแม้ว่าเจดีย์สามองค์นี้จะมีชื่อเรียกว่าเจดีย์สามสมัยก็ตาม แต่จากการสันนิษฐานนั้นพบว่า เจดีย์ทั้งสามองค์นี้ถูกสร้างขึ้นพร้อมกันในสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น ด้านหลังของเจดีย์สามสมัยนั้นจะเป็น “มณฑปแปดเหลี่ยม” ซึ่งนับว่าเป็นสัญลักษณ์สำคัญของวัดอุโบสถารามเลยก็ว่าได้ โดยมณฑปนี้เป็นสถาปัตยกรรมแบบยุโรปสูงสองชั้นตั้งอยู่ริมแม่น้ำสะแกกรัง จากประวัติที่เล่าต่อกันมาเล่าว่า มณฑปนี้สร้างขึ้นราวปี พ.ศ.2442 โดย “หลวงพิทักษ์ภาษา” เพื่อถวายแก่ “พระครูอุไททิศธรรม” เจ้าอาวาสวัดอุโบสถารามในขณะนั้นเพื่อให้ท่านจำพรรษา แต่ทว่าพระครูอุไททิศธรรมได้มรณภาพลงเสียก่อน มณฑปแห่งนี้จึงถูกใช้เป็นที่ทำศพและเป็นที่ประดิษฐานอัฐิธาตุพร้อมข้าวของเครื่องใช้ของท่านแทน หากยืนจากมณฑปแปดเหลี่ยมแล้วมองไปทางแม่น้ำสะแกกรัง ก็จะเห็น “แพโบสถ์น้ำ” เรือนแพไม้อันสง่างามตั้งตระหง่านอยู่กลางน้ำ โดยแพโบสถ์น้ำได้ถูกสร้างขึ้นเพื่อใช้รับเสด็จในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เมื่อครั้งเสด็จประพาสเมืองอุทัยธานีในปี พ.ศ.2499 ซึ่งปัจจุบันได้ถูกปรับเปลี่ยนประโยชน์ใช้สอยให้กลายเป็นสถานที่ประกอบพิธีกรรมทางศาสนาและงานบุญต่างๆ หลังจากที่เราสักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์และชมความงามภายในส่วนต่างๆ ของวัดอุโบสถารามจนครบถ้วนแล้ว ศาลาริมน้ำน่าจะเป็นตัวเลือกที่ไม่เลวเลยทีเดียวสำหรับการนั่งพักหย่อนใจ ทอดสายตามองดูผืนน้ำอันสงบนิ่ง ซึ่งอาจจะช่วยทำให้จิตใจของเราสงบนิ่งขึ้นได้ บางทีความสุขสงบอาจเรียบง่ายและอยู่ใกล้กว่าที่เราคาดคิด โดยเฉพาะสำหรับชาวพุทธอย่างเราๆ ด้วยแล้ว การเข้าวัดเข้าวา ไหว้พระ ทำบุญ ก็จัดว่าเป็นหน้าที่ของพุทธศาสนิกชน แต่ถ้าพอมีเวลามากหน่อยลองแวะมาเที่ยวชมความงามของวัดอุโบสถาราม รวมถึงวิถีชุมชนอันเรียบง่ายริมแม่น้ำสะแกกรังดูซักครั้งนะครับ เชื่อว่าหลายๆ คนจะต้องรู้สึกประทับใจไม่ต่างจากเราเลย
สะพานวัดโบสถ์ ตำบล อุทัยใหม่ อำเภอเมืองอุทัยธานี อุทัยธานี 61000