วัดมหาธาตุเจ้าดอยเกิ้ง

พระอุบาลี (หลานของขุนแสนทอง) ได้ตามเสด็จพระพุทธเจ้าไปไม่นานนัก เพราะสังขารไม่เที่ยง ก็ได้รำพึงถึงกาลวาระสุดท้ายของตน ก็คิดอยากไปนิพพานยังบ้านปู่ เมื่อคิดดีแล้วก็เข้าไปกราบลาพระพุทธเจ้า เพื่อไปอวสานอายุในดินแดนของปู่ พระพุทธเจ้าจึงตรัสแก่อุบาลีว่า “ท่านอุบาลี กลับบ้านเกิดเมืองนอน ตงยากจักกลับมาหาเรา ตถาคตจึงขอให้ท่านอุบาลีแสดงฤทธานุภาพเทศนาธรรมให้ตถาคตฟังก่อนเถิด”

ครั้นพระอุบาลีเข้าจตุถฌานแล้วได้อภิญญาฌานเสด็จขึ้นสู่อากาศเวหา ถึงความสูงประมาณ ๗ เท่าของต้นตาล ก็นั่งขัดสมาธิเหนือเวหา แล้วจึงเทศนากราบไหว้ที่เท้า ๕ ครั้ง นอบน้อมถวายก้มประมนกรเหนือเศียรแล้วออกมาจนสุดสายตาแห่งพระพุทธเจ้า แล้วเหาะไปในอากาศลัดมือเดียวก็ถึงเมืองปู่ของพระอุบาลี แล้วบอกเหตุการณ์อันใกล้วาระ ที่องค์ท่านอุบาลีจะมาถึงแก่ปู่แล้วให้นึกน้อยใจตนเองว่า

“โอ้หนอ โอ้หนอ ตัวเรานี้คิดว่าปู่จะสิ้นบุญก่อนเรา แต่บัดนี้เราเสียอีกจะสิ้นบุญก่อนปู่ จำเราต้องเทศนาธรรมโปรดปู่ก่อนเถิด” แล้วท่านอุบาลีก็เสด็จขึ้นอากาศประมาณ ๒ ชั่วต้นตาล แล้วเทศนาธรรมบรรยายหลายประการ ปู่ของพระอุบาลีก็ทำการสักการบูชามากมายเมื่อเสด็จปรินิพพาน ปู่ของพระอุบาลีก็ทำการฌาปนกิจถวายเสร็จแล้วเก็บพระอัฐิธาตุใส่โกฏิเก็บรักษาไว้สักการบูชา

ส่วนพระพุทธเจ้านั้น ทรงโปรดสรรพสัตว์ทั้งหลายตราบเท่าอายุ ๘๐ พรรษา เมื่อใกล้ปรินิพพานก็เสด็จมาเมืองกุสินาราแล้วตั้งสัจจาธิษฐานขอเก็บอัฐิธาตุของตถาคตคือ พระนลาฏข้างซ้ายและกระดูกหน้าผากด้านซ้าย) ขออธิฐานให้เก็บอัฐิธาตุชิ้นนี้ไว้ที่ดอยเกิ้ง

ขุนแสนทองอยู่รักษาเคารพเกศาธาตุแห่งพระพุทธเจ้าจนอายุ ๗๓ ปี ก็จุติสังขารไปเกิดเป็นเทวบุตรอยู่วิมานแห่งรุกขเทวดารักษาต้นไม้ต้นหนึ่งสูง ๑๒ โยชน์ อยู่รักษาพระเกศาธาตุจนตราบเท่า ๕,๐๐๐ ปี เมื่อไรพระศรีอาริยเมตตรัยลงมาเกิด เมื่อนั้นขุนแสนทองก็จะได้มาเกิดเป็นอัครสาวกองค์หนึ่ง

พระพุทธเจ้าปรินิพพานไปแล้ว ๒๑๘ ปี ได้มีพญาองค์หนึ่งทรงพระนามว่า “ศรีธรรมโศกราช” อยู่ในเมืองปาตลีบุตร มาเกิดในศาสนาของพระพุทธเจ้า และมีพระมหาโมคคัลลานและปุตติสละเถระเจ้าเป็นประธานในพระอรหันต์ทั้งหลาย ในระหว่างมีการประชุมสังคายนาแล้วได้สร้างวิหารไว้รอบ ๒ ล้าน ๘ แสนหลัง และก่อนพระเจดีย์ไว้ ๘ หมื่น ๗ พันหลัง แล้วไปขุดพระธาตุแห่งพระพุทธเจ้าซึ่งพระมหากัสสปเถระเจ้าและพระเจ้าอชาตศัตรูได้ฝังไว้ในกรุงราชคฤห์ออกมาเพื่อนำไปแจกตามหัวเมืองต่างๆ ๘,๔๐๐ เมือง

ครั้งนั้นพระอรหันต์เจ้า ๕๐๐ รูป ได้มารับพระธาตุแห่งพระพุทธเจ้าทั้งหมดพร้อมด้วยธรรมภิธกไปแจกตามหัวเมืองต่างๆ ที่พระพุทธองค์ทรงทำนายไว้เป็นลำดับจนมาถึงเจดีย์ซึ่งมีพ่อค้าสองคนพี่น้อง ชื่อตุปุสสะ และภัลลิกะ ได้มาถวายข้าวมธุปายาสแก่พระพุทธองค์ในวันพระและได้ขอพระเกศา ๒ องค์ (ผม ๒ เส้น) เพื่อนำไปประดิษฐานเหนือภูเขาชื่อดอยสิตัสตถราชะปัปปัตตา ในอุระชนบท

พระอรหันต์เจ้าทรงรำพึงว่าเกศา ๒ เส้นนี้ พ่อค้าสองพี่น้องจักนำไปสร้างเป็นเจดีย์ไว้ที่นี้อาจไม่รุ่งเรืองไปตราบถึง ๕,๐๐๐ ปีในภายภาคหน้า พระศาสนาก็จะเป็นสมบัติของสาธารณชนว่าดังนั้นแล้วพระอรหันต์จึงนำพระเกศา ๒ องค์ เดินทางไปจนถึงภูเขาชื่ออุจจุปัปปัตตาหรือดอยเกิ้ง ซึ่งอยู่ทางทิศใต้ของห้วยที่มาบรรจบกัน มีต้นมะส้านลำต้นใหญ่โตวัดโดยรอบ รวมได้ ๗ กำมือ

พญาศรีธรรมโศกราช ก็รีบสร้างโกฏิทองคำใบหนึ่งกว้าง ๓ ศอก แล้วสร้างพระนอน (พระปางไสยาสน์) องค์ยาว ๗ ศอก และพระพุทธรูปองค์เล็กๆ นั่งเรียงกันอีก ๓ องค์ สูง ๓ ศอก มีพระพุทธรูปองค์เล็กๆ อีก ๕๐๐ องค์ พระแก้ว พระเงิน พระทองคำ พระไม้แกะสลัก พระอินทร์ มีครบทุกประการบริบูรณ์ พร้อมหีบบรรจุพระธรรม ๗ หีบ ฆ้อง ๑ ใบ กว้าง ๒ วา พร้อมด้วยฉัตรและแส้ สร้างด้วยฝีมือชาวมอญ พร้อมด้วยเครื่องบูชาทุกประการ

พระอรหันต์เจ้าทั้งหลายก็ได้กล่าวกับลูกหลานขุนแสนทองว่า สูเจ้าทั้งหลาย จงไปนำเอาผอบธาตุของพระอุบาลีมาเก็บรักษาไว้ในถ้ำนี้เถิด ในภายภาคหน้าตัวเราก็จะมรณภาพลงจักหาผู้ดูแลไม่ได้ บุตรหลานพระอุบาลีจึงได้นำผอบบรมธาตุพระอุบาลีมาไว้ในถ้ำนั้น

ครานั้น  พระอรหันต์เจ้าทั้งหลายและพญาศรีธรรมโศกราช จึงนำผอบธาตุของพระพุทธเจ้ากับ
พระพุทธรูปที่สร้างขึ้นนั้นนำไปสู่ปากถ้ำ พระอินทร์เจ้าก็นำฉัตรมากั้นแสงแดด พากันเดินสู่ปากถ้ำ เปิดประตูถ้ำและลั่นไกยนต์ เมื่อถึงตรงที่เก็บพระเกศาธาตุ ๒ องค์ ใส่ไว้ในผอบแรก นำมารวมใส่ในผอบใหญ่ด้วยกันแล้วนำพระนลาฏข้างซ้ายรวมลงในผอบเกศา ๒ องค์ แล้วนำออกมาจากถ้ำ ว่ายน้ำมาทางทิศตะวันออก และนำพระบรมธาตุอีกทะนานหนึ่งซึ่งได้มาจากลังกาทวีปนำเข้ามารวมกันในผอบลูกใหญ่แล้วตั้งไว้บนแท่นทองคำ

แท่นนี้สูง ๓ ศอก วางไว้บนผอบของพระอุบาลี แล้วก่อสร้างรอบๆ ประมาณ ๒ วา ชั้นกลางมีหีบธรรม ๗ หีบ ชั้นล่างบรรจุพระพุทธรูปแทนองค์พระพุทธเจ้า หันพระพักตร์ไปทางทิศตะวันออกเฉียงใต้เหมือนดังแท่นบูชาพระในบ้านเราที่บูชา อาสนะก็ตั้งบูชาไว้อย่างเดิม ส่วนฆ้องใบนั้นพระอินทร์ได้ทำขอห่วงเหล็กไว้บนฆ้อง ลั่นบูชาทุกวันพระ ฆ้องนี้คน ๑๐ คนตีถึงจะดัง ส่วนพญาศรีธรรมโศกราช ก็สร้างประตูกว้าง ๑ คืน ๒ ศอก มีภาพเขียนพราหมณ์ มีคำเขียนไว้บนพุงและมอบดาบกายสิทธิ์ (ดาบสรีกั๋นไจย) อยู่เฝ้าประตูซ้ายขวา แล้วนำหินก้อนหนึ่งขนาดเท่าร่มมาปิดประตูถ้ำทางทิศเหนือซึ่งมีต้นประดู่ต้นหนึ่ง ทางทิศใต้มีต้นราชพฤกษ์ต้นหนึ่งเป็นเครื่องหมายไว้

พระอรหันต์เจ้าทั้งหลายก็นำหินก้อนเล็ก ขนาดข้าวเหนียวจี่ (ข้าวเหนียวปิ้ง) ไปตั้งไว้ทางทิศเหนือจอมภูเขานั้น เพื่อเป็นเครื่องหมายพระบรมธาตุเจ้า แล้วพระอินทร์ก็รำพึงว่าฉัตรทองคำของเรานี้ เมื่อพระพุทธองค์ยังทรงมีชีวิตอยู่นั้น เราได้กั้นฉัตรนี้แก่ระองค์เอขึ้นไปสู่เขาลูกนี้และเมื่อพระองค์ปรินิพพานไปแล้ว เราก็กั้นฉัตรแก่พระบรมธาตุเจ้าขึ้นมาบนเขานี้ด้วย เราจะนำฉัตรนี้ตั้งถวายไว้กับพระบรมธาตุนี้ตราบเท่า ๕,๐๐๐ ปีดีกว่า แล้วพระอินทร์ก็ตั้งฉัตรนั้นไว้ทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ของภูเขามีเทวดา ๘ องค์ อยู่รักษา ๘ ทิศด้วย

เมื่อกลับลงมาถึงห้วย พระอินทร์ได้กล่าวกับพญาศรีธรรมโศกราชว่า “ข้าแต่มหาราชขอให้ท่านหลอมประทีปดวงหนึ่งให้เท่ากับประทีปดวงที่ประดิษฐานไว้ในถ้ำนั้นเถิด” พญาศรีธรรมโศกราชได้หลอมประทีปดวงหนึ่งปากกว้าง ๑ วา สูง ๑ ศอก หนาเท่าหัวแม่มือ พระอินทร์ก็บรรจุน้ำมันทิพย์และไส้เทียนเท่าแขนแล้วจุดประทีปไว้ตลอดเวลาในที่นั้น

พญาศรีธรรมโศกราชได้ถามพระอินทร์ว่า จะให้หลอมสร้างประทีปไว้ที่ตรงไหนอีกเพื่อให้บุคคลได้แลเห็นเป็นที่หมาย พระอินทร์จึงกล่าวว่า “ดูกรมหาราช ในกาลข้างหน้านี้พระศาสนาจักรุ่งเรือง แล้วจักมีพม่าลูกครึ่งคนหนึ่งเป็นคนขี้เมา มีอยู่วันหนึ่งพม่าคนนี้ก็ดื่มเหล้าจะหาอาหารใดมาแกล้มเหล้าก็ไม่มีเลย จึงสะพายแหแล้วเดินไปตามฝั่งแม่น้ำระมิงค์ แล้วเดินไปทางทิศเหนือที่ปากห้วย แลเห็นประทีปมีรัศมีลูกหลานพม่าคนนี้ก็ถามว่า ไฟนี้มีชื่อว่าอะไร แล้วพากันมาดูถึงที่ก็เห็นเป็นดวงประทีป พม่าก็กล่าวว่า อันนี้คือไฟประทีปบูชาพระบรมธาตุเจ้านี้แหละว่าดังนั้นแล้วก็มีความยินดียิ่งนัก จึงเผาแหทิ้งเสีย และทุบไหเหล้าพร้อมกันเลย และโกนผมบวชเป็นปะขาวก็เป็นอุบาสกอุบาสิกา”

พระอรหันต์พร้อมทั้งพญาศรีธรรมโศกราช และพระอินทร์ก็ได้นำพระบรมธาตุของพระพุทธเจ้าไปแจกตามบ้านน้อยเมืองใหญ่ ตามที่พระองค์ได้ทรงทำนายไว้แล้วก็สิ้นสุดภารกิจเมื่อเดินทางมาถึงเมืองปาตลีบุตร ซึ่งเป็นเมืองที่พญาศรีธรรมโศกราชครองอยู่

นี้แหละจะขอเล่าสู่กันให้ได้ฟังได้อ่าน ขอชักชวนปวงชนทั้งหลายได้มานมัสการยังดอยเกิ้งแห่งนี้ ผู้ใดได้มาแล้ว ต่อไปนี้จนถึงอนาคตให้ได้รู้และเล่าขานต่อกันว่า พระสารีริกธาตุพระพุทธเจ้าก็มาบรรจุในภูเขาลูกนี้ สถานที่แห่งนี้ก็จักรุ่งเรืองและเลื่องฤาชาปรากฏในพระพุทธศาสนาจักเป็นมหาอารามใหม่หลังหนึ่ง ด้วยปวงชนก็จะมาบำเพ็ญบูชาพระสารีริกธาตุของพระพุทธเจ้าที่ตรงนี้แหละ ตราบใดที่พม่าขี้เมาไม่ได้มาพบ บุคคลใดบุคคลหนึ่งก็จักมาพบเข้าสักวัน

จากห้วยน้ำถึงดวงประทีปดวงแรกมีความไกล ๒๕๐ วา และจากประทีปดวงนั้นไปถึงปากถ้ำ ยาว ๗๐ วา จากปากถ้ำถึงประทีปดวงใน ยาว ๗ วา จากประทีปดวงในถึงผอบ ยาว ๑๐ วา จากปากถ้ำถึงยอดเขาไกล ๒๕๐ วา จากยอดเขาถึงผอบไกล ๑๐๐ ศอก

ฝ่ายพม่าครึ่งชาติ (ลูกครึ่ง) เมื่อครั้ง เป็นโยคีรักษาศีลอยู่ที่ภูเขานี้ได้มรรคผลครั้งเมื่อสดับพระธรรมเทศนาในพระธรรมคาถาว่า “อนิจจา วะตะ สังขารา…..ฯลฯ” ของพระพุทธองค์ โยคีเหล่านั้นก็อยู่รักษาพระเกศาธาตุของพระพุทธเจ้า หลังกาลสมัยเสด็จปรินิพพานได้ ๓๗ ปี โยคีก็ถึงแก่กรรมลง ก่อนถึงแก่กรรมได้นำเอาหินก้อนหนึ่งมาปิดปากถ้ำและถึงแก่กรรมในถ้ำนั้นและได้จุติเป็นเทวดาอยู่รักษาถ้ำนั้นอีก

ในถ้ำมีรอยพระพุทธบาทในเรือ และเทวดาองค์นี้จะได้เป็นสาวกแห่งพระศรีอาริยเมตตรัยที่จะจุติในภายหน้า เทวดาองค์นี้บางครั้งอยู่ในถ้ำ บางครั้งอยู่ในเรือ วันพระจะไปไหว้พระธาตุที่พระองค์ทำนายไว้ในชมพูทวีปทุกแห่ง เทวดาองค์นี้บางทีแปลงกายเป็นชาวบ้านมีรูปร่างน่าเกลียด ปากเบี้ยว นุ่งห่มจีวรเก่าๆ เดินซอกแซกไปมา ผ้าเปื้อนน้ำหมาก มือถือลูกประคำสีขาว ใครพบมองดูที่เงาของเขา ถ้าไม่ปรากฏเงาให้เชื่อเถิดว่าเป็นโยคีเทวดา หรือบุคคลใดมีความประสงค์จะเข้าไปไหว้พระธาตุในถ้ำอย่ากลัวเขา โยคีจะพาเราไปแล้วจะหายตัวไป ดังนี้แล

ยังมีโยคีอีกองค์หนึ่งชื่อ “จะสุเทวะลาสี” ได้ออกจากป่าหิมพานต์ และมาอยู่รักษา พระธาตุดอยเกิ้งอยู่ใต้ปากถ้ำมีหินก้อนหนึ่งรูปร่างคล้ายสิงห์ เขานั่งอยู่ใกล้ๆ ต้นมะขามป้อมมีบ่อน้ำบ่อหนึ่งในนั้น บ่อน้ำที่ไม่เคยเหือดแห้งมีตลอดกาล โยคีองค์นี้รักษาพระธาตุดอยเกิ้ง ๗ วัน ไปอยู่ป่าหิมพานต์ ๗ วัน (ตำนานนี้พระอินทร์ที่เชิงเขาสุมภูตะ ทวีปลังกาได้ให้ไว้)

ตำนานดอยเกิ้งนี้มีพระมหาเถระเจ้าองค์หนึ่ง เป็นชาวลังกานามว่า “สัทธรรมรังษี” จะไปไหว้พระพุทธบาทที่เขาสุวรรณอุตตะลังกา ลงไปสรงน้ำพบลายพระหัตถ์เป็นอักษรเขียนรำพึงถึงภูเขาที่ชื่อดอยเกิ้ง ตถาคตมาถึงที่นี้แล้ว ขุนแสนทองได้นำสัปทนทองคำมากั้นแสงแดดให้เราตถาคต เราจึงได้ชื่อว่า ดอยเกิ้ง

ตำนานว่าด้วยพระมหาบรมธาตุเจ้าดอยเกิ้ง จึงจบลงตรงบรรทัดนี้ด้วยประการฉะนี้.

Write a Review

Click to rate

การสมัครสมาชิกหมายถึงคุณยอมรับต่อ ข้อกำหนดและเงื่อนไขการใช้งาน and our นโยบายความเป็นส่วนตัว ของเว็บไซด์ของเราแล้ว